แม้ว่าชีวิตคู่ของแต่ละคนมักมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามความสบายใจและความเป็นตัวเองของบุคคลนั้นๆ อยู่แล้ว แต่ท่ามกลางความแตกต่างเหล่านั้นก็ยังมีจุดร่วมบางอย่างที่ทำให้หลายๆ คนสามารถเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กันได้ในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การกระทำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มทำให้ความไม่สบายใจก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของอีกฝ่าย ซึ่งหลายครั้งสาเหตุของความไม่สบายใจนั้นก็แอบคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย
บทความนี้จึงได้คัดเลือกและรวบรวม 5 สิ่งที่คนรักของคุณหรือตัวคุณเองไม่ควรขอให้อีกฝ่ายทำ ถ้าหากไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกแย่ขึ้นในความสัมพันธ์ของคุณ ลองอ่านแล้วคิดตามกันดูว่าถ้าคนรักขอให้ทำ 5 ข้อต่อไปนี้ คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ว่าสิ่งนั้นอาจก่อให้เกิดความขุ่นมัวในความสัมพันธ์ได้ไม่มากก็น้อย
1. เก็บความสัมพันธ์นี้เป็นความลับ
บางคนเลือกที่จะเก็บหรือปกปิดความสัมพันธ์ที่ตัวเองยังไม่แน่ใจว่าจะนำพาทั้งคู่ไปไกลได้แค่ไหน แต่บางคนก็ปกปิดมันเอาไว้เป็นความลับเพราะแท้จริงแล้วยังแอบมีอีกคนที่เกินมาในความสัมพันธ์ หรืออาจจะยังไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกที่ยังมีต่อรักครั้งเก่าได้หรืออาจจะแย่กว่านั้น อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าคนที่รักและแคร์คุณจริงๆ จะภูมิใจและพร้อมที่จะบอกคนอื่นเสมอว่ามีคุณเป็นคนรัก (ตามที่นักเขียน Dawson McAllister ได้กล่าวไว้)
2. ทำให้ไม่หลงเหลือความเป็นตัวเอง
หนึ่งปัญหาใหญ่ในความสัมพันธ์ของคู่รักก็คือสิ่งที่เรียกว่า การละทิ้งตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรู้สึก (เพิกเฉยต่อความรู้สึกตัวเอง) ด้านการเงิน (ใช้จ่ายอย่างไม่มีความรับผิดชอบ) หรือด้านจิตใจ (ปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนรักของคุณมากเกินไป เพียงเพื่อให้ความรักครั้งนี้ไปต่อได้) การรู้จักที่จะรักตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญก่อนจะให้ความรักกับผู้อื่นต่อ เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มเรียนรู้ที่จะรักตัวเองแทนที่จะละทิ้งตนเองแล้ว คุณก็จะได้ค้นพบวิธีสร้างความรักที่ดีในความสัมพันธ์ของคุณกับคนรัก (จากคำกล่าวของ Margaret Paul ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์)
3. ทำอะไรก็ตามที่อาจทำร้ายสุขภาพของคุณ
ไม่ว่าจะเป็นเพียงการทำให้คุณสูญเสียความตั้งใจที่จะไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย หรือหนักขึ้นอย่างการคอยแต่จะให้คุณลองบุหรี่หรือกลับมาสูบมันหลังจากที่คุณตัดสินใจเลิกไปแล้ว หรือแม้แต่การคะยั้นคะยอให้คุณดื่มเครื่องดื่มมึนเมาเกินกว่าที่คุณสบายใจจะดื่ม เพื่อมอมหรือเพื่อความสนุกส่วนตัวก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คอยแต่จะขีดขวางไม่ให้คุณมีสุขภาพที่ดีหรือแข็งแรงขึ้นได้ ทางที่ดีก็ไม่ควรปล่อยให้ใครก็ตามมาสั่งหรือบังคับให้คุณทำอะไรที่จะเป็นผลเสียต่อตัวเองหรือทำให้ตัวเองอ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายหรือจิตใจ (จากคำกล่าวของ Andrea Bonior)
4. เลิกทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบ
ประโยคที่ว่า “คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน” เป็นเพียงเนื้อเพลงที่ออกจะเพ้อฝันและเกินจริงไปหน่อยในความเป็นจริง หนำซ้ำยังไม่ใช่ต้นแบบความคิดที่ดีต่อการวางแผนความสัมพันธ์ด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกคนได้ เพราะทุกคนล้วนมีความเป็นตัวของตัวเอง รวมถึงมีสิ่งที่ชอบโดยส่วนตัวที่ต้องการจะทำมันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเวลาว่างไปเล่นเกม โยคะ เข้าวัด ชมงานศิลป์ หรืองานดนตรี เป็นต้น
โดยส่วนใหญ่แล้วในบรรดาความชอบทั้งหมดที่คนหนึ่งคนมีนั้น ก็คงจะมีสักอย่างสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของอีกฝ่าย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าหากทั้งคู่ยังเคารพในความแตกต่างของกันและกัน ไม่บังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละทิ้งสิ่งที่ตนเองชอบเพียงเพราะอีกคนไม่ชอบมัน คุณจะต้องสร้างความสัมพันธ์อื่นๆ ในโลกใบนี้นอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบคนรักกับคนรักของคุณบ้าง ไม่งั้นท้ายที่สุดแล้วการยึดติดให้มีกันเพียงสองคนหรือตามใจแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่แคร์ความต้องการของตัวเองไปเรื่อยๆ อาจทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถไปต่อด้วยดีได้ถึงปลายทาง (คำแนะนำจาก Matt Lundquist)
5. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนคนอื่น
คนรักที่ดีและรักกันจริงๆ จะไม่มีทางขอให้อีกฝ่ายเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเองจริงๆ อย่างแน่นอน เพราะคนรักกันมักจะรักในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น รักในตัวตนที่แท้จริงของเขา อย่างไรก็ตามการขอให้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนคนอื่นในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น การแนะนำ หรือตักเตือนอะไรก็ตามที่เป็นผลดีต่ออีกฝ่าย แต่มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการเปลี่ยนตัวตน อย่างการที่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ชอบแต่งตัวตามแฟชั่นจึงอาจจะไม่ได้สวยปังในทุกๆ วันที่เดินด้วยกัน หรือการที่ผู้ชายคนหนึ่งชอบเก็บเงินบางส่วนเอาไว้ ไม่อยากใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับของใช้ที่ไม่จำเป็นมากเกินไป จึงไม่ซื้อของแบรนด์เนมให้คนรักบ่อยนัก เป็นต้น
แน่นอนว่าในชีวิตคู่ของทุกคนจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องค่อยๆ ปรับเข้าหาให้เกิดความสบายใจและความพอดีในสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่การขอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นอีกคนที่อีกฝ่ายอยากให้เป็น เพราะฉะนั้นคำพูดจำพวก “ทำไมเธอไม่เป็นเหมือนผู้หญิงคนนั้นบ้าง” หรือ “ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่มีทางทำแบบนี้แน่” ไม่ควรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของใครก็ตาม (จากคำกล่าวของ Williams)
จบไปแล้วกับ “5 สิ่งที่คนรักกันไม่ควรขอให้อีกฝ่ายทำ” ที่ได้คัดเลือกมาให้ลองอ่านและคิดตามกัน อาจจะตรงใจใครบ้างไม่มากก็น้อย (หรือไม่ตรงใจเลยสักข้อ) แตกต่างกันไป เพราะยังไงก็ต่างคนต่างความคิด สามารถนำบทความนี้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ หรือคนรักของคุณได้ แล้วก็อย่าลืมกลับมาเล่าสู่กันฟังนะ