1. เริ่มเปิดใจในตัวตนของกันและกัน
หากคุณสัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายในด้านที่คุณชื่นชอบเพียงอย่างเดียว แล้วเล่นหลับตาปิดหูไว้ข้างหนึ่งกับด้านที่ไม่ชอบ นั่นก็รู้สึกว่า คุณอาจจะไม่ได้รู้จักในตัวตนของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ แล้วพอวันใดวันหนึ่งที่คุณต้องเปิดตาทั้งสองข้างมาเจอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความไม่ใช่อย่างที่คิดมันก็จะทำให้คุณผิดหวัง แต่นั่นก็ล่ะ คุณเลือกที่จะปิดตาไว้เอง ข้อนี้เลยอยากจะบอกว่า ถ้าอยากให้เวิร์คต้องเปิดใจเป็นอันดับแรก มองทุกด้านเห็นทุกมุม แล้วทดแต้มไว้ในใจ
2. ยอมรับได้ไหมกับสิ่งที่ไม่ใช่
การที่จะให้คนๆหนึ่งใช่สำหรับเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องบอกว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้เลย จะมีใครสมบูรณ์แบบต่ออีกคนได้ขนาดนั้น ขนาดตัวเราเองยังต้องปรับตัวเองกันอยู่เรื่อยๆ ฉะนั้นแล้วการเปิดใจในข้อแรก จึงสู่การยอมรับในข้อต่อมา เรียนรู้กันไปสักระยะน่าจะมีคำถามในใจขึ้นมาว่า “คุณรับได้ไหมกับตัวตนของคนๆนี้” ถ้าใจบอกว่าใช่ นั่นคือใช่ ถ้าใจบอกว่า ไม่ ก็ลองให้โอกาสใจดูอีกสักครั้ง การศึกษาเรียนรู้เลยน่าจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้ตอนอกหักมีเหตุผลที่สุด ไม่ใช่เพียงอารมณ์วูบๆวาบๆไปแค่นั้น
3. อยากเห็นเขาเป็นคนที่ดีขึ้น
ข้อนี้คงต้องผ่านหลายๆความรู้สึกกับฝ่ายตรงข้าม จนมาสู่ในจุดที่อยากเห็นเธอเป็นคนที่ดีขึ้น ฟังดูแล้วหล่อดีอะไรดีจริงๆ แต่ความหมายในทีนี้นั่นอาจแปลได้หลวมๆว่า เราให้โดยไม่ได้หวังผลอะไรหรอก แค่อยากเห็นเขาเป็นคนที่ดีขึ้น แต่นั่นอาจจะต้องมาจากพื้นฐานของความรู้สึกรักก่อนละมั้ง ที่เหมือนเวลาแม่ดูแลลูกก็อยากเห็นลูกได้แต่สิ่งที่ดี มันถูกบ่มเพาะมากจากความรัก แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงแบบลูกแล้วฉันจะเป็นแม่เธอนะ มันมาจากความบริสุทธิ์ใจต่างหาก
4. ยอมรับในตัวตน
ในข้อนี้ถ้าทำได้ก็จะเป็นสิ่งที่เวิร์คกับความสัมพันธ์มาก เพราะเราเชื่อว่า เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านคนที่รับเราไม่ได้มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสัย การใช้ชีวิต หรืออะไรก็ตาม ซึ่งปลายทางนั่นคือการแยกทางต่างคนต่างไป แต่จนแล้วจนรอด แรงดึงดูดที่เขาว่าจะดูดคนที่เหมือนกันให้มาเจอกัน มันก็เริ่มดึงดูดคนที่ยอมรับกันได้มาเจอกัน โลกคงไม่อยากทนเห็นเราบอบช้ำอย่างเดียวดาย อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่เราได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่เธอมีไลฟ์สไตล์กลางวันเป็นบอย กลางคืนเป็นสาว แต่สุดท้ายเธอก็แต่งงานและมีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย อะไรถึงทำให้คนทั้งคู่มีชีวิตอยู่ด้วยกันได้ และอยู่กันมาอย่างยาวนานจนหลายคนอิจฉา คำตอบสั้นๆที่ได้ นั่นคือ “เราดูกันที่หัวใจ จริงใจ ไว้ใจ เชื่อใจ สบายใจ ถ้าทุกอย่างในองค์ประกอบมีทั้งหัวใจเขาและหัวใจเราอยู่ตรงนั้น เขาก็น่าจะอยู่กับเราได้ไปยันแก่เฒ่า เรื่องตัวตนนั้นเราเลยไม่สนใจอะไร ก็เขาเป็นเขา เรารักที่เขาเป็นเขา แล้วเขาก็ดูแลเราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เราก็ดูแลเขาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แล้วก็นึกไม่ออกจริงๆถ้าวันหนึ่งไม่มีกันแล้ว ความไม่สมบูรณ์นั้นหน้าตามันจะเป็นอย่างไร เพราะโลกโคจรให้เรามาเติมเต็มให้ตัวเราสมบูรณ์ได้ขนาดนี้”
5. เรามาเจอกันเพื่อการเติมเต็ม
คู่รักหลายคู่ที่อยู่กันยืดยาว แล้วมีหลายสิ่งต่างกันแบบสุดขั้ว มันทำให้เราคิดทุกครั้งว่า พวกเขาอยู่กันได้อย่างไรในความสัมพันธ์ที่ทานอะไรคนละอย่าง ดูหนังคนละเรื่อง ไลฟ์สไตล์ต่างกัน นั่นเป็นเพราะพวกเขามองว่า ความต่างคือการเติม แล้วสุดท้ายเราจะเต็ม หลายครั้งที่ผู้หญิงไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรืออะไรที่ยากๆ ฝ่ายชายมักเป็นผู้เล่าเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างน่าค้นหา จนฝ่ายหญิงก็เริ่มรู้เรื่องราวและมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เช่นเดียวกับฝ่ายชายที่ไม่ได้ละเมียดละไมในการแต่งตัวมากนัก ผู้หญิงอย่างเราจึงต้องขอเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความหล่อเหลานั้นถูกเปล่งประกายออกมาแบบหล่อๆ นั่นล่ะคือการเติมเต็ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องมาจากการยอมรับในตัวตนกันและกันได้ก่อนนะ ถ้ามาถึงจุดนี้ได้ นั่นก็เวิร์ก
ความรักที่ดีนั้น วัดได้จากห้าข้อนี้จริงๆหรอ เราบอกให้ว่านี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น องค์ประกอบของความรักที่ดีมักมีสิ่งเล็กๆน้อยๆซ่อนอยู่ให้ชวนติดตาม ก็ต้องลองไปค้นกันต่อดูเอาเอง แต่ถ้าถามว่าความรักที่ดี มันเป็นทีมเวิร์คอย่างไรในชื่อเรื่อง ก็ถ้าอ่านห้าข้อนี้จนครบ นั่นก็น่าจะตอบได้ว่า ความรักไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงข้างใดข้างหนึ่ง ความเป็นคู่ครองย่อมเกิดจากสิ่งที่ร่วมมือระหว่างกัน ไม่ใช่เพียงตัวคนเดียวอีกต่อไป การส่งรับของคนทั้งคู่อย่างเข้าใจกันจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายมาก มันทำให้เกิดการเป็นทีมเวิร์คในเรื่องของความสัมพันธ์ เห็นพ้องต้องกัน หัวเราะด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน หรือแม้แต่ตอนทะเลาะก็ยังเข้าใจกัน นั่นล่ะทีมเวิร์คที่ดี อ่านจบแล้วลองไปค้นดูความสัมพันธ์ของคุณและเขาในตอนนี้ ถ้าพบว่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เราเป็นทีมเวิร์คกันได้ดี ก็อย่าปล่อยมือกันไป ถ้าไม่มั่นใจก็ลองถามใจตัวเองว่า “ความเป็นทีมเวิร์กที่ว่านั้น มันได้ก่อตัวความรู้สึกดีๆในทุกๆครั้งที่อยู่ด้วยกัน และความผูกพันธ์ที่ไม่ได้เจอกันหรือไม่ ถ้ารู้สึก นั่นก็อาจเป็นคนที่พอดีกับใจ ซึ่งมันไม่ง่ายหรอกที่จะเจอกัน”