ผู้หญิงจำนวนหนึ่งชอบผู้ชายสายเปย์ก็จริง แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ชอบให้ฝ่ายชายมาจ่ายให้หมดกับทุกสิ่งในชีวิต แม้ว่าเวลาเป็นแฟนกันแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายให้ฝ่ายหญิงทั้งหมด ทั้งค่าแท๊กซี่ กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง หรือ แม้กระทั่งเลยเถิดไปถึงค่าคอนโดของฝ่ายหญิง ซึ่งเรื่องแบบนี้หลายคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทำกันมานานแล้ว แถมบางคนยังคิดว่า มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายเสียด้วยซ้ำ
แต่ในศตวรรษที่ 21 แม้ผู้ชายยังคงต้องเดินในทางสายเปย์เหมือนเช่นในอดีต หากมีคำแนะนำจากนักจิตวิทยาระบุว่า หากจะคิดรักษาความสัมพันธ์กันให้ยืนยาว การจัดสรร หรือ ทำข้อตกลงกันระหว่างชายหญิงเพื่อไม่ให้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน จะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาวยิ่งขึ้น ไม่ใช่แต่งงานกันไปแล้วปรากฏว่าเมื่อเลิกรากัน ฝ่ายชายต้องออกมาบอกว่า เพราะรับภาระของทางบ้านฝ่ายหญิงไม่ไหวแล้ว หรือ ฝ่ายหญิงเองก็ไม่คิดจะช่วยตัวเองเลยหวังจะพึ่งเงินของผู้ชายตลอด
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเรามาหาทางสายกลาง และ ทำความเข้าใจกันดีกว่าว่า เหตุผลที่ดีสามข้อที่ผู้หญิงไม่ควรจะปล่อยให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจ่ายตลอดเวลานั้นเพราะอะไร
ไม่ยุติธรรมเลยถ้าปล่อยให้ “เขา” ต้องจ่ายอยู่ฝ่ายเดียว
บนพื้นฐานความสัมพันธ์ในชีวิตคู่นั้น การสร้างความสัมพันธ์ควรเริ่มต้นที่ต่างฝ่ายต่างแบ่งปันและให้ความเท่าเทียมกันในทุกสิ่ง ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ทุ่มให้ตลอดเวลา ทั้งสองฝ่ายควรจะแบ่งปันกันออกค่าใช้จ่าย แม้กระทั่งการเลือกที่จะใช้วันหยุดร่วมกัน ที่ต่างฝ่ายไม่ต้องฝืนใจ
อันที่จริงแล้ว ถ้าฝ่ายชายต้องการจะสร้างความประทับใจให้กับฝ่ายหญิงในการพบกันครั้งแรก ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่าปล่อยให้กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกครั้งที่นัดพบกัน เพราะเมื่อสร้างความสัมพันธ์ไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายอาจไม่รู้ว่าคู่ของตนเองนั้นอึดอัดใจหรือไม่ หรือ มีเงินที่มาคอยเลี้ยงตลอดเวลาได้แค่ไหน
ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเริ่มคบกันไปสักระยะ ลองพูดคุยกันแบบผู้ใหญ่ว่าฝ่ายชายจะเป็นผู้จ่ายค่าอะไรให้บ้าง และ ฝ่ายหญิงจะช่วยแชร์ ค่าอะไรบ้าง แบบนี้จะช่วยให้ต่างฝ่ายต่างไม่อึดอัดใจ และพอใจที่จะได้แบ่งปันหรือดูแลกันและกันไม่ให้ลำบากเกินไป
วิธีคิดว่าผู้ชายคือเจ้าของผู้หญิงเก่าไปแล้ว
ในอดีตนั้น การดำเนินชีวิตของผู้คนไม่เหมือนในปัจจุบัน ผู้หญิงไม่ได้มีอิสระมากนักทั้งในเรื่องการศึกษา หรือ การทำงาน แต่โลกปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงทำงานได้ทัดเทียมกับผู้ชาย และความคิดที่ว่าเมื่อเป็นคู่ชีวิตกัน ผู้ชายจะเป็นเจ้าของผู้หญิงนั้น เรียกว่าเป็นความคิดในยุคเก่าไปแล้ว เพราะปัจจุบันสังคมที่ผู้ชาย เป็นฝ่ายหาเลี้ยงผู้หญิงมีหน้าที่ทำหน้าที่แม่บ้านนั้น เหลือน้อยเต็มที
ปัจจุบันผู้หญิงมีที่ยืนในสังคมมากขึ้น หากเราจะปล่อยให้วิธีคิดแบบเก่าครองงำต่อไป คงไม่ใช่เรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดที่ว่าการปล่อยให้ฝ่ายชายจ่าย และ เออออไปกับทุกสิ่งที่เขาทำ วิธีคิดแบบนั้นจะทำให้ผู้หญิงกลายเป็นฝ่ายถูกเลือก และ ผู้ชายก็จะมีสถานะเป็นเจ้าของเช่นเดิม ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบันสุดท้ายแล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างอึดอัด และสายเกินไปที่จะพูดคุยสุดท้ายเรื่องเงินก็จะกลายเป็นส่วนที่บั่นทอน และทำให้ ชีวิตคู่พังลงได้
ถึงจะสายเปย์ แต่ก็ใช่ว่าจะเปย์ให้ได้ตลอดชีวิต
คนเราเวลารักกันใหม่ๆ อะไรก็ดีไปหมด แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้าทั้งสองฝ่ายจะเห็นข้อดีและข้อเสียของกันและกันมากขึ้น ยิ่งเมื่อได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจะยิ่งชัดเจนที่สุด และเปราะบางมากที่สุดเพราะต่างคนต่างก็ไม่เหลือความเกรงใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อดีข้อเสีย ต่างก็จะมาถมใส่กันหมดด้วยอารมณ์ และยิ่งมีข้อเสียมากเท่าไร ความรู้สึกแย่ๆก็จะไม่ถูกเก็บเอาไว้ ต่างก็จะระเบิดออกมา
ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นรู้จักตัวตนของแต่ละคนให้ได้เร็วที่สุด และต้องทำข้อตกลงที่ไม่ให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะเมื่อวันหนึ่งที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจ และรู้ว่าเป็นข้อตกลงร่วมกันที่ยอมรับกันแต่แรกแล้ว ดังเช่นเรื่องการปล่อยให้ฝ่ายชายจ่ายเป็นฝ่ายเดียว นานวันเข้าเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฝ่ายชายต้องจ่ายในทุกบิลและทุกค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็จะทำให้เกิดอาการกินใจกันทีละน้อย หากฝ่ายหญิงมีงานทำและมีเงินเดือนแต่ไม่ได้ร่วมจ่ายอะไรเลย หรือแม้แต่ฝ่ายหญิงส่งเสียให้กับครอบครัวตนเองเพียงอย่างเดียว โดยปล่อยให้เรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านและของตนเองเป็นของผู้ชาย ซึ่งเรื่องราวแบบนี้ มีให้เห็นได้ตามเรื่องเล่าบนโลกออนไลน์
ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือการตกลงที่เท่าเทียม ไม่มีใครไดเปรียบเสียเปรียบใครจะดีที่สุด เพราะต่อให้ฝ่ายชายกระเป๋าหนักแค่ไหน แต่ถ้าต้องมาจ่ายให้กับผู้หญิง แบบหมดหน้าตัก พวกเขาก็คงต้องเลือกเช่นเดียวกัน