ถึงแม้คำพูดจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับจิตใจลึกๆ ข้างใน มันสามารถสร้างรอยร้าวและบาดแผลฝังลึกได้อย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจย่อมสร้างบาดแผลที่เจ็บปวดส่งผลได้มากกว่าบาดแผลทางกายเสียอีก
คำพูดต่อไปนี้ คือตัวอย่างของการใช้ถ้อยคำทำร้ายจิตใจ ส่งผลระยะยาวต่อผู้ฟังได้อย่างมาก
1. ถ้าอย่างนั้น เราเลิกกันดีกว่าไหม
ในหลายครั้งประโยคนี้มักหลุดออกมาจากปากของใครคนใดคนหนึ่งในขณะที่กำลังโต้เถียงกันในจุดที่เรียกได้ว่าดุเดือด แต่เชื่อว่าคนที่กล่าวคำนี้ออกมานั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ต้องการเลิกอย่างที่พูดออกไปหรอก เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของการอยากเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้น หรือเพียงแค่เป็นการแสดงความไม่พอใจต่อปัญหาตรงหน้าที่ทั้งคู่ไม่สามารถแก้ได้
ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้จะเริ่มก่อแผลและรอยร้าว ถึงแม้จะไม่ได้เลิกกันจริงๆ ในครั้งนี้ แต่ในครั้งต่อๆ ไปคำนี้จะถูกพูดบ่อยขึ้นจนกลายเป็นความจริงในสักวัน
สิ่งที่คู่รักควรตระหนักคือ การที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันใช้ชีวิตร่วมกันย่อมต้องมีกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา เพียงแต่ถ้าหากหาทางออกไม่ได้ การประนีประนอมคือหนทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ปัญหาระหว่างคุณทั้งคู่บานปลายรุนแรงไปมากกว่านี้
2. ฉันเกลียดคุณ
บางครั้งบางทีด้วยอารมณ์โมโหคำพูดสั้นๆ แต่พาลให้เจ็บจุกใจอย่างคำว่า “ฉันเกลียดคุณ,ผมเกลียดคุณ,ผมไม่ได้รักคุณแล้ว” มีผลอย่างมากต่อผู้ฟัง ถึงแม้คนพูดจะไม่ได้หมายความตามนั้นก็ตาม จำเอาไว้ว่าถ้าหากพลั้งปากหลุดพูดคำแย่ๆ คำนี้ไป ควรรีบขอโทษและตอบแทนความรู้สึกที่เสียไปชองอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด เพราะทุกความสัมพันธ์ควรเคารพซึ่งกันและกันจึงจะทำให้ความรักยืนยาว
3. นั่นเป็นความคิดที่โง่มาก
บางครั้ง อีกฝ่ายอาจกระทำบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคิดว่าไม่เข้าท่า(ในมุมมองของคุณคนเดียว) หรือแม้กระทั่งบางครั้งถึงคราวคุณทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ก็อาจจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายคิดว่าไม่เข้าท่าเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าต่างคนก็ต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เพียงแค่ไม่ใช้คำพูดหักหาญน้ำใจกันและกันพยายามทำความเข้าใจในการตัดสินใจของอีกฝ่ายจะดีที่สุด
4. ผู้ชาย/ผู้หญิง ก็เป็นแบบนี้ทั้งหมดนั่นแหละ
ต่างฝ่ายต่างก็มีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกันไม่ว่าจะทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ซึ่งนานวันเข้าแนวทางการคิดที่ต่างกันนี้อาจบ่มจนอิ่มตัวกลายเป็นปัญหาที่แดงขึ้นมาในสักวันหนึ่ง การเอาใจใส่ในความรู้สึกของอีกฝ่ายย่อมเป็นความสำคัญที่ควรนึกถึงอยู่ตลอด เพราะเราไม่ได้อยู่ตัวคนเียว การทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์คย่อมช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงได้ด้วยดี
5. ฉันไม่อยากพูดถึงมัน
กับเรื่องราวคาราคาซังที่ทับถมเป็นปัญหากวนใจระหว่างคู่รักที่อยู่ด้วยกัน ผ่านการโต้เถียงจนถึงจุดที่แยกย้ายควบคุมสติอารมณ์ ทำให้ปัญหาเหล่านั้นฝังรากกระทบจิตใจไปในระยะยาว ยิ่งปล่อยไว้นานปัญหานั้นๆ ยิ่งยิ่งใหญ่ร้ายแรงขึ้น แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการจะหาทางออกอีกฝ่ายอาจตะคอกกลับด้วยอารมณ์ที่กำลังปรี๊ดแตก “ไม่อยากพูดถึงมัน” เพื่อเลี่ยงความขุ่นมัวในอารมณ์ แต่สุดท้ายปัญหานั้นก็ยังค้างคาไร้ทางออก
ทางที่ดีคือ การควบคุมอารมณ์และใช้น้ำเสียงนุ่มนวล เช่น “ผมยังไม่พร้อมที่จะเคลียร์เรื่องนี้ในตอนนี้ ขอเวลาให้ผมได้คิดกับมันอีกสักหน่อยแล้วกัน แล้วเดี๋ยวมาคุยกันอีกที”
6. เธอมันเหมือน พ่อ/แม่ เธอไม่มีผิด
เข้าใจแหละว่าบางครั้งความคิดแบบประโยคข้างต้นนี้มักจะผุดเข้ามาในหัวคุณซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันจะผิดแน่ถ้าคุณเผลอพูดออกไป บางครั้งในการถกเถียงกันการมุ่งความคิดหาทางออกที่ลงตัวคือทางที่ดีที่สุด พยายามอย่าวอกแวกออกทะเลนอกเรื่องจนเกิดปัญหาที่ 2 3 4 ตามมา
7. ไม่ต้องมายุ่ง!
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งเข้ามาไถ่ถามถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย นั่นแปลว่าเขาต้องการช่วยให้สิ่งกวนใจต่างๆ จบลงด้วยดี ดังนั้นการไล่ด้วยถ้อยคำ “ไม่ต้องมายุ่ง” จึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่น่ารักสักเท่าไหร่ แต่หากพลั้งไปแล้วก็ควรขอโทษและปรับปรุงพฤติกรรมไม่ทำแบบนี้อีก และอาจบอกคนรักของคุณให้คอยเตือนหน่อย เพราะการเปลี่ยนนิสัยระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย
8. ใจเย็นๆ , หยุดคิดถึงมัน
หากมีใครสักคนกำลังหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี แทนที่จะบอกให้ใจเย็นๆ หรือเลิกคิดถึงมันเพื่อปัดปัญหาออกไปพ้นๆ ไม่ช่วยอะไรแน่นอน สิ่งที่ควรทำคือการแบ่งเบาทุกข์ของกันและกัน ถามไถ่ไล่เลียงและแก้ปัญหาร่วมกัน ถามว่าเกิดอะไรขึ้นและดูว่าคุณพอจะช่วยอะไรได้บ้าง