ทุกคนล้วนเคยเหงา เคยเศร้า แล้วเรารับมือกับมันอย่างไร
จะว่าไปคนเราทุกคนเกิดมา ย่อมเคยพบกับช่วงเวลาเหงากันมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว อยู่หลายคน อยู่นอกบ้าน อยู่ในบ้าน ความเหงาบางครั้งก็ตามติดเราเหมือนกับเงาก็ไม่ผิด และในหลายๆครั้ง เราก็ต้องพบเจอกับความเศร้าเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเศร้าจากความผิดหวัง เศร้าจากความทุกข์ หรือเศร้าจากความเหงา…
หลายๆครั้งเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเราเองมากนัก เราพยายามอย่างมากมายเพื่อความสัมพันธ์ที่พัฒนาจนเป็นแฟนกัน โดยที่เราคาดหวังไว้ว่าเราจะได้ไม่ต้องเหงาหรือโดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังมีช่วงเวลาที่เรายังเหงาอยู่ดี เลยเกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า ถ้ามีแล้วยังเป็นแบบนี้ แล้วจะมีไปทำไม?
สุดท้ายความเหงาก็พัฒนาต่อเนื่องไปเป็นความเศร้า โดยที่บางครั้งใจเราเองก็ยังไม่อยากให้ความสัมพันธ์นี้จบลง เราก็ได้แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน โดยที่เราเองเราก็ยังไม่รู้เลย ว่าเรากำลังอดทนทนอยู่กับมัน หรือเราอยู่กับมันได้จริงๆ
ความสัมพันธ์ใดๆนั้นย่อมต้องมีช่องว่างตรงกลางเว้นไว้ เพื่อไม่ให้เรานั้นใกล้ชิดกันมากเกินไป แต่ช่องว่างนั้นก็ต้องพอดี ไม่ควรจะใหญ่มากจนเกินไป เพราะจะเป็นเหตุให้เราห่างเหินกันได้ แน่นอนว่าช่องว่างตรงนี้ในมุมมองของทั้งสองฝ่ายนั้น อาจจะมีบางคู่ที่มุมมองตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายๆคู่ที่มุมมองยังไม่ตรงกัน
สำหรับฝ่ายหนึ่งอาจจะคิดว่าเท่านี้พอแล้ว แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งแน่นอนว่าความแตกต่างตรงนี้อาจจะทำให้เกิดความเหงา หรือความเศร้า ซึ่งความเหงาหรือความเศร้านั้นก็มักจะเกิดกับฝ่ายที่เห็นว่าช่องนั้นยังไม่พอ
บางครั้งเราก็เอาเรื่องต่างๆโยนมันลงไปในช่องว่างนั้น นั่นคือเราใช้ช่องว่างนั้นเป็นข้ออ้างสำหรับการละเลยเรื่องๆนึง ซึ่งสุดท้ายแล้วเรื่องที่ถูกโยนทิ้งลงไป พอมันเยอะขึ้นจนวันนึงมันล้น ทุกอย่างก็อาจจะสายเกินแก้ไปเสียแล้วสำหรับความสัมพันธ์ของเรา
บางครั้งเราก็ฉวยโอกาส ใช้ช่องว่างของเราเป็นจุดบอดเพื่อไปหาคนอื่น โดยที่อีกฝ่ายได้ให้ความไว้วางใจอย่างไร้ความเคลือบแคลงใดๆ แน่นอนว่าเมื่อช่องว่างนั้นไม่ใช่ช่องว่างของเราอีกต่อไปแล้ว สักวันทุกๆอย่างมันก็จะฟ้องออกมาเอง แล้วตอนนั้นสิ่งที่ทำได้ ก็คงจะมีแค่การจากลา ไม่ว่าจะจบยังไง แต่ที่แน่ๆคือมันต้องจบ
ระยะห่างหรือช่องว่างที่เกิดขึ้นมานั้น ดูแล้วช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ที่จะประเมินออกมาได้ ว่าตอนนี้เราห่างกันมากน้อยเท่าไหร่ เราทำได้เพียงแค่กะเอา หรือใช้ความรู้สึกมโนวัดเอาเอง กลายเป็นว่าบางครั้งเราคิดว่าช่องว่างเราลดลงไปแล้ว แต่ความจริงคือมันอาจจะยังเท่าเดิม หรือแย่กว่านั้นคือกว้างขึ้น
คงจะเป็นเรื่องดีที่ช่องว่างของเรานั้นอยู่ในจุดที่พอดี และตรงกันทั้งสองฝ่าย เพราะเมื่อถึงจุดนั้นสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว มันก็คงจะเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกเราว่าเราพร้อมสานความสัมพันธ์กันแล้ว
แต่ว่าเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าช่องว่างนั้นของเราทั้งคู่ตรงกันแล้ว…
เราไม่รู้หรอก เราได้แต่คอยสังเกต และประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นเอาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นความรู้สึกล้วนๆ ที่จะสามารถบอกเราได้แน่นอน ว่ามันคงถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เราจะได้ทดสอบว่าช่องว่างของเราตรงกันมั้ย หลายๆครั้งมันก็ยังไม่ตรง กลายเป็นว่าเราเดินหนีช่องว่างนั้นออกมา ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ช่องว่างนั้นยิ่งกว้างออกไปเรื่อยๆ จนกลับมาต่อไม่ติด
ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่บางครั้งเราก็ไม่รู้จะทำให้มันยากไปทำไม ในเมื่อถ้าเวลามันใช่ ความรู้สึกมันใช่ ก็คงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาเพิ่มเติมแล้ว อนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรารู้แน่ๆว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่ทำอะไรในวันนี้ เพราะฉะนั้น ยอมทำอะไรในวันนี้ดีกว่า เพื่อที่ว่า มันอาจจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นในอนาคตบ้างก็ได้ หรือถ้ามันไม่เกิดขึ้น อย่างน้อย
ก็ไม่เสียดายมัน เพราะได้ทำมันอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว…