ไม่แปลกที่เราจะไม่ลืมใครสักคน ไม่แปลกที่ใครบางคนที่จะตราตรึงในความทรงจำของเราไปนานแสนนาน แต่ถ้าช่วงเวลาที่ดีที่สุดพวกนี้ มันกำลังทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัวล่ะ
ถ้าความสุข รสสัมผัส และความทรงจำดีๆ ยังวนเวียนอยู่ตลอดเวลา แม้ในวันที่ความรักของเราไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว โมเมนต์แบบนี้ย่อมไม่ใช่ช่วงเวลาแสนสุข แต่เป็นรักฝังใจที่คอยกลับมาทำร้ายเราทุกครั้งที่นึกถึง แล้วจะปล่อยให้ตัวเองเจ็บซ้ำๆ อยู่แบบนี้เพื่ออะไร
คนส่วนใหญ่เมื่อเจออะไรแบบนี้จะพยายามลืม บอกตัวเองซ้ำๆ ทั้งน้ำตาว่าต้องลืม ลืมให้ได้ แต่คนเรามันไม่ได้สั่งสมอง สั่งจิตใจกันได้ง่ายขนาดนั้น ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่ ก็ยิ่งจำได้มากขึ้นเท่านั้น
บางทีวิธีลืมอาจเป็นอะไรที่ง่ายกว่านั้น แค่เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจความรัก เข้าใจคนที่เคยรัก และลองเปิดใจกับวิธีต่างๆ เหล่านี้ การลืมก็อาจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
::: เลิกหาเหตุผลกับเรื่องแบบนี้ :::
เพราะความรักไม่เคยมีเหตุผล ทำให้บางครั้งการเลิกรา..ก็ไม่ต้องมีเหตุผลด้วยเหมือนกัน
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้รักมันฝังใจก็เพราะไม่รู้ว่าการเลิกรานั้นมาจากสาเหตุอะไร เราทำอะไรผิด เค้าไม่พอใจอะไร ทำไมรักของเราไม่เหมือนเดิม โดยคิดไปเองว่าการพยายามหาเหตุผลว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะสามารถประกอบความรักครั้งนั้นขึ้นมาใหม่ได้ แต่บางทีการที่ใครคนหนึ่งเดินจากไป มันก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรเลย
เรื่องบางเรื่อง..มีคำตอบไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การพยายามหาเหตุผลของการหายไปมีแต่จะทำให้ความรักครั้งนั้น มันฝังใจเรามากยิ่งขึ้น และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไปไหนไม่ได้สักที เพราะฉะนั้นลองเปลี่ยนความคิด เลิกพยายาม ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลย บางทีแค่เข้าใจว่าความรักมันก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้แหละ เราอาจก้าวข้ามรักฝังใจครั้งนี้ไปง่ายขึ้นก็ได้
::: บางคนผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ก็เพื่อจะจากไป :::
เหตุผลหนึ่งที่ทุกข์ก็เพราะไปยึดติด..
แปลว่าที่รักมันฝังใจก็เพราะเราเองนั่นแหละไปยึดติด ถือมั่นกับรักครั้งนั้นไปเอง ซึ่งนี่แหละคือตัวการสร้างทุกข์และการซ้ำเติมตัวเองในแบบที่เจ็บแสบที่สุด เพราะเราลืมไปว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริงเลย ความรักก็เป็นแค่ความต้องการ คนรักก็เป็นคนที่เราไม่มีทางครอบครองหรือเป็นเจ้าของได้ การไปยึดติดก็มีแต่จะทำให้ฝังใจและหลุดออกจากมันไปไม่ได้
ความรักก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป คนบางคนผ่านมาเข้ามาในชีวิตเรา เพียงเพื่อจะจากไปในที่สุด ไม่มีทางที่เราจะยึดใครหรืออะไรเป็นของเราได้เลยแม้แต่นาทีเดียว
การมองโลก มองความรักอย่างที่มันควรจะเป็น ทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจความรักในแง่มุมที่ไม่ทำให้ทุกข์ได้ดีขึ้น เพราะการมีความรักมันก็ดี แต่มันคงไม่สนุกถ้าปล่อยให้รักมันฝังใจจนก้าวต่อไปไม่ได้
::: บอกตัวเองซ้ำๆ ต้องอยู่ให้ได้ :::
บางทีอาจถึงเวลาที่เราต้องรักตัวเองบ้างแล้วก็ได้..
การปล่อยให้รักฝังใจมันค่อยๆ ทำลายความสุขของเราไปทีละนิด มันไม่น่าจะใช่คำตอบของความรัก เพราะถ้ารักแล้วทุกข์มากกว่าสุข ก็ไม่น่าจะใช่ความรักที่คนเราตามหา
แม้การเลิกรักใครสักคนจะยาก แต่ถ้าบางทีมันอาจถึงเวลาแล้วก็ได้ที่เราต้องปล่อยรักฝังใจครั้งนั้นไป แล้วหันกลับมารักตัวเองให้เต็มที่ดูบ้าง เพราะส่วนหนึ่งที่รักมันฝังใจก็เพราะเราไม่เคยรักตัวเองมากพอเลย ถ้าเรารักตัวเองมากกว่า เราจะไม่มีวันปล่อยให้รักครั้งไหนๆ เป็นรักฝังใจที่เดินต่อไปไม่ได้ ยังไงความรักก็คือความรัก มีรักก็ต้องมีเลิกรัก เป็นเรื่องธรรมดา
เราต่างหากที่ต้องจัดการกับหัวใจตัวเองให้ดี ไม่ให้รักใครมากกว่ารักตัวเอง เพราะเมื่อรักตัวเองเป็นแล้ว รักตัวเองดีแล้ว เราจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ความรักที่ต่างคนต่างเริ่มต้นจากการรักตัวเองมันเป็นรักที่ดีและสบายใจที่สุด
::: อย่าเอาเวลาปัจจุบันไปอาลัยสิ่งที่ผ่านมาแล้ว :::
บางครั้งคนเราก็จมอยู่กับอดีตที่มันผ่านมาแล้วมากไป..โดยเฉพาะรักฝังใจที่มันก็จบลงไปแล้วนั่นแหละ
เคยได้ยินคำนี้ไหม “เวลาเป็นของมีค่า” และเวลาในตอนนี้ ปัจจุบันนี้นี่แหละสำคัญที่สุด ถ้ามัวแต่เอาเวลาปัจจุบันไปนึกอาลัยอาวรณ์สิ่งผ่านมาแล้ว เราจะเอาเวลาที่ไหนไปนึกถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
จริงๆ ก็ไม่ผิดนะถ้าจะคิดถึงใครสักคน แต่ขอให้รู้เสมอว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันผ่านไปแล้ว เราต้องใช้เวลาปัจจุบันในการเตรียมพร้อมเจอกับอะไรที่กำลังจะเข้ามา โดยไม่ยึดโยงกับอดีต ไม่เอาอดีตมาบั่นทอนอนาคต
บางทีอาจถึงเวลาแล้วก็ได้ ที่เราต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงมันดูเหมือนละครที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง แต่มันคือเรื่องจริง คือรักที่แท้จริง เพราะการที่เรารักใครสักคนมากพอ เราจะอยากให้เค้ามีความสุข แม้ความสุขนั้นจะไม่มีเราอยู่ด้วยก็ตาม
::: ธรรมะช่วยได้ :::
ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่มีอะไรทำให้ลืมรักฝังใจครั้งนั้นได้ บางทีอาจถึงเวลาที่จะเอาธรรมะเข้าช่วยแล้วก็ได้ ซึ่งวิธีนี้ได้ผลชะงัดที่สุด แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องใช้เวลา ใช้การฝึกจิต และการทำความเข้าใจกับจิตใจตัวเองพอสมควร
มีหลายคน หลายตำราบอกว่าให้เริ่มจากการสวดมนต์ แต่ในทางธรรมแล้ว การสวดมนต์ไม่ใช่คำตอบของการลืมใครสักคน แต่เป็นแค่การใช้ยาแก้ปวดชั่วคราว ไม่ใช่การกำจัดที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง พอยาแก้ปวดหมดฤทธิ์ เชื้อโรคก็แผลงฤทธิ์ ทำให้กลับมานึกถึงอีกเป็นวัฏจักรวนเวียนไม่จบสิ้น
การพยายามตัดใจหรือพยายามลืมอะไรสักอย่างมันเป็นไปได้ยาก เพราะใจเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรตัดได้ขาด วิธีที่ถูกต้องและได้ผลคือต้องใช้การสละออก ซึ่งเป็นการกระทำที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เพราะเราชินกับการเอาทุกอย่างเข้าตัว โน่นก็ชอบ นี่ก็อยากได้ ทำให้เราเผลอเอาสิ่งต่างๆ เข้าตัว และไปยึดติดกับทุกอย่างไปโดยปริยาย
ดังนั้นการสละออกจึงทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาหรืออะไรที่ไม่อยากจำได้อย่างง่ายดาย แต่กว่าจะสละออกได้ เราจะต้องมีจิตที่ดี จิตที่ชินกับการสลัดอารมณ์ส่วนเกิน สลัดเรื่องต่างๆ ออกไปก่อน ถ้าทำได้ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ไม่เฉพาะแต่เรื่องใคร่ เรื่องเงินทอง แต่เราจะสามารถสลัดทุกข์ออกไปได้ทุกเรื่อง
การสละออกเป็นการที่จิตสลัดเอาอารมณ์ส่วนเกินออกไป ดังนั้นการฝึกจิตให้ทำได้แบบนี้จึงต้องใช้เวลา ใช้ความตั้งใจ วิธีการก็คือเราต้องเห็นปัญหา เห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ให้ได้ เพราะตราบใดก็ตามที่เราไม่เห็น ไม่รู้ โอกาสที่จะจมอยู่กับมันก็มีสูง แต่ถ้าเห็น ได้ยิน ได้รู้ เราจะสามารถละออกจากมันได้ คือต้องถอยออกมาเป็นคนดู ต้องเห็น ต้องรู้ แต่อย่าไปคลุกคลี มองภาพรวม ภาพกว้าง ปล่อยไปตามธรรมชาติ เพราะทุกอย่างมาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ เมื่อไรที่เห็นสภาวธรรม (การเกิดแล้วดับ) เราจะพบว่าเราเป็นอิสระจากมัน เพราะไม่เอาตัวเองไปคลุกคลีกับสิ่งใดเลย
พอถอยออกมาเป็นคนดูได้ มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพของความเป็นจริงได้ จิตของเราจะสละเรื่องต่างๆ เหล่านี้ออกไปได้เอง เพราะทุกอย่างแม้กระทั่งความทุกข์ที่เกิดจากความรักก็เป็นเรื่องที่เกิดแล้วก็ดับ เหมือนทุกเรื่องบนโลกนี้นั่นเอง
เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูอีกบานจะเปิดขึ้นเสมอ แต่คนเรามักอาลัยอาวรณ์กับประตูบานที่ปิดลงแล้ว ก็เลยมองไม่เห็นประตูอีกบานที่เปิดรออยู่ ความรักก็เช่นกัน เมื่อรักครั้งหนึ่งจบลงก็คือสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ การฝังใจกับอะไรที่จบไปแล้ว ไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น
ดังนั้นยิ้ม ~ และเดินไปหาประตูอีกบานที่เปิดรออยู่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด..