ในชีวิตที่ผ่านมา ฉันได้เห็นผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่เข้าใจโลก มีเหตุผล มีน้ำใจ พวกเธออ่อนโอนมีเมตตา สะสวย ใจดี แต่กลับไม่มีแฟน แต่เหล่าผู้หญิงดัดจริต ที่เอาแต่ใจ ขี้โมโห กลับมีเพศตรงข้ามอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง ใครๆก็บอกว่าเป็นผู้หญิงต้องมีเหตุผล ถึงจะมีคนรัก แต่จริงๆแล้วเป็นผู้หญิงยิ่งรู้ความ ก็จะยิ่งถูกเอาเปรียบ แต่แน่นอนว่าผู้หญิงต้องมีเหตุผล ถึงจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีค่าพอให้รักมั้ย
ก่อนหน้านี้ได้ฟังเพื่อนเล่าเรื่องของป้าเธอให้ฟัง เรื่องราวมีอยู่ว่า:
ในชีวิตนี้ ฉันเป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดี การเป็นผู้หญิงรู้ความจะทำให้คุณรู้ว่าผู้ชายมีคุณค่าพอมั้ย แต่ถ้าผู้หญิงยิ่งรู้ความมากเกินไป ผู้ชายก็จะยิ่งเอาเปรียบคุณ ถึงเวลานั้นผู้หญิงต้องกลับมาคิดใหม่ ว่าคุณธรรมและความมีเหตุผลของคุณ ถูกหรือไม่
ฉันมีชีวิตแต่งงานมา 36 ปี ในช่วงเวลา 36 ปีนี้ ฉันพยายามเป็นภรรยาที่ดี เป็นลูกสะใภ้ที่ดี แล้วสุดท้ายฉันได้อะไร? จนถึงทุกวันนี้แม่สามีก็ยังไม่ยอมรับฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นับจากนั้น ฉันก็ตัดสินใจหย่า เพราะยิ่งฉันทุ่มเทมากเท่าไหร่ ครอบครัวนี้ก็ยิ่งคิดว่านั่นเป็นแค่สิ่งที่ควรจะทำ
ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากพยายามอีกต่อไป ฉันอายุ 60 แล้ว ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ฉันไม่อยากทรมานตัวเอง
เรียกได้ว่า ฉันใช้เวลาไปกว่าครึ่งชีวิตเพื่อเข้าใจชีวิต นั่นก็คือในชีวิตแต่งงาน ยิ่งเป็นผู้หญิงที่รู้ความยิ่งถูกเอาเปรียบ คุณคิดแทนสามี แทนแม่สามี แล้วพวกเขาล่ะ? เมื่อไหร่ถึงจะคิดถึงหัวใจคุณบ้าง?
หัวใจที่ดีของผู้หญิงเกิดจากการบ่มเพาะและการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่มีไว้ให้คนอื่นกลั่นแกล้ง ความดีและมีเหตุผลของคุณ ถ้ามอบให้คนที่ไม่มีค่า ในสายตาของพวกเขา คุณไม่ใช่คนมีเหตุผล แต่เป็นคนที่น่าเอาเปรียบ
ครึ่งแรกของชีวิตฉัน ฉันทำเพื่อชีวิตแต่งงานและครอบครัว ฉันคิดว่าครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกวันทุกนาที ทุ่มเทเพื่อครอบครัว
ฉันคิดถึงความรู้สึกของสามี รักษาความรู้สึกและหน้าตาของเขา ไม่อยากให้เขาต้องวอกแวกเพราะปัญหาเรื่องในบ้าน เพราะงั้นไม่ว่าแม่สามีจะกลั่นแกล้งฉันยังไง ฉันก็อดทน และฉันก็ทนมา 36 ปีแล้ว เขาไม่เพียงไม่คิดว่าแม่เขาผิด ยังมาตำหนิฉัน หาว่าฉันไม่กตัญญู
ในบ้านของพวกเราแม่สามีใหญ่มาก แกเป็นผู้นำในครอบครัวมาโดยตลอด
เพียงแค่แกคิดว่าตรงไหนที่ฉันผิด แกกับสามีฉันก็จะออกปากว่าฉันทันที โดยไม่คิดว่าเรื่องจริงเป็นยังไง เขาคิดว่าแม่ของเขาไม่ว่าทำอะไรก็ถูกเสมอ ใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ยัง “เป็นลูกแหง่ติดแม่”
ฉันเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดี ดีจนไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะถูกกลั่นแกล้งแค่ไหน ฉันก็จะคิดว่าพวกเรามีลูกด้วยกัน ใจก็จะอ่อนลงทันที ไม่รู้สึกโกรธอีก ฉันกังวลว่าถ้าชีวิตแต่งงานของพวกเราไม่ดี ลูกก็จะกลัวการแต่งงานในอนาคต ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะไม่ยกโทษให้ตัวเองเลย
ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจหย่าหนึ่งวัน ฉันเข้าไปคุยกับลูกสาวคนเล็ก เธอเรียนปริญญาเอก อายุจะ 30 แล้วยังไม่แต่งงาน ฉันบอกเธอว่า : “หนูอายุไม่น้อยแล้วนะลูก ถ้ามีคนที่เหมาะสม มีใครที่คุยอยู่ก็พามารู้จักแม่บ้าง”
ลูกสาวว่า : “ไม่ว่าในอนาคตหนูจะแต่งงานกับใคร หนูจะไม่เลือกคนแบบพ่อเด็ดขาด”
ได้ยินลูกพูดแบบนั้น น้ำตาฉันก็ไหลออกมา ลูกสาวฉันโตแล้วจริงๆ เธอเข้าใจทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง สิ่งที่ฉันโดนกลั่นแกล้งมาตลอด เธอรู้ เธอก็เลยสนับสนุนให้ฉันหย่า สนับสนุนให้ฉันกลับมาเป็นตัวเอง มีชีวิตของตัวเอง
พูดกันตามตรงแล้ว สำหรับเรื่องแต่งงาน ฉันรู้สึกมาตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ ฉันไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวลูก ทำให้เธอกล้าที่จะมั่นใจว่า เธอจะได้พบคนที่จะเข้าใจ และรักเธอยังไง
ชีวิตแต่งงานควรจะเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ทั้งสองเสมอภาคกัน ฉันใช้ชีวิตมาครึ่งทางถึงเข้าใจ ไม่ใช่ผู้หญิงต้องรักษาหน้าผู้ชาย แต่ผู้หญิงควรจะดูแลหน้าตัวเอง
ชีวิตแต่งงานไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งทุ่มเทก็ได้ ถ้าอยากมีความสุข สองสามีภรรยาต้องดูแลกันและกัน คุณรักษาหน้าเขา แปลว่าคุณรู้ความ เขารู้สึกขอบคุณ ดูแลและเข้าใจคุณถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นความดีและมีเหตุผลของคุณ ในสายตาเขาก็คือน่าเอารัดเอาเปรียบเท่านั้น
อีกอย่าง ผู้หญิงที่อยากมีชีวิตแต่งงานที่ดี จะต้องมีรายได้เป็นของตัวเอง และต้องมีความคิดและบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดติด มีความมั่นใจพอ
ฉันสามารถเข้าครัวทำอาหาร เป็นภรรยาและแม่ที่ดี ถ้าครอบครัวมีปัญหาด้านการเงินฉันก็ยื่นมือเข้าช่วยได้ ถ้าคุณทำผิดต่อฉัน ฉันก็จะหย่า ฉันเป็นภรรยาของคุณ ไม่ใช่คนงานหรือทาส พวกเราเท่ากัน นี่เป็นจุดสำคัญในชีวิตแต่งงาน
ผู้หญิงต้องจำไว้ ความดีและมีเหตุผลของคุณไม่ใช่ของถูกๆ ต้องมอบให้คนที่มีค่าพอ ถ้าเขาไม่รู้จักทะนุถนอม ยิ่งคุณรู้ความเท่าไหร่ ก็จะยิ่งโดนเอาเปรียบเท่านั้น