เรื่องมโนว่าเขาหรือเธอรักนั้นเรียกได้ว่าเป็น ปัญหาระดับชาติ เพราะไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่น เหล่าชายหนุ่ม หญิงสาวในวัยที่ฮอร์โมน พลุ่งพล่านมักจะมีเรื่องราวความรักแบบมโนไปเองมาเล่าขานไม่รู้จบ ทีนี้เรามาลอดถอดบทเรียนจากในอดีตกันดีกว่าจะได้ไม่ต้องตกลงไปในกับดับของคำว่า “ความรักมโน” กันอีก วิธีการนั้นไม่ได้มีอะไรยาก เพียงแต่เปิดหู เปิดตา เปิดใจ และ อย่าได้เที่ยวคิดไปเอง หากต้องการคำตอบที่ชัดเจนก็ถามไปตรงๆเลยจะดีกว่า แต่ทีนี้มาดูกันก่อนว่า พฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้เขา หรือ เธอ มโนกันไปได้ไกลว่ากำลังถูกรัก
1. ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคน
ข้อนี้มันจะเริ่มมาจากไม่ว่าหญิงหรือชายพอสนิทสนมกัน ก็มักจะวนเวียนมาให้เห็นหน้ากันไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็จะไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ชนิดตัวติดกันไปด้วยกันตลอด มีทั้งแบบเป็นแก๊งค์บ้าง ไปสองสามคนบ้าง และสุดท้ายจะเหลือสองคนพอเหลือแค่สองคนทีนี้ไม่ชายก็หญิงก็เริ่มหวั่นไหว จากนั้นก็มานั่งคิดวกวนในหัวว่าเขาหรือเธอจะชอบเราไหม แต่พอตัดสินใจไปถามเท่านั้นแหละ หลายคนได้รับคำตอบที่ทำให้น้ำตาตก ทีนี้ก็มีคำถามว่าที่ผ่านมาคืออะไร แล้วมาอ่อยมาสนิทกันทำไม คำตอบเรื่องนี้มีอยู่ว่า ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายถ้าเขาคิดแค่เพื่อน ก็คือเพื่อนต่อให้ไปไหนด้วยกันสองต่อสองก็ไม่มีวันรู้สึกเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อนเพราะเขาและเธอที่คุณมีใจให้นั้นได้ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
2. ชอบชวนคุยผ่านสื่อออนไลน์
“พี่คะ เขาชอบ Inbox มาคุยกับหนูตอนดึกๆ แล้วคุยไม่รู้จักหยุดหย่อน” หรือ “พี่คะเขาชอบ ไลน์มาคุยส่วนตัวกับหนูสองคน เขาคิดอะไรกับหนูไหมคะ” หรือ “พี่ๆทำไมน้องคนนี้เขาชอบส่งสติ๊กเกอร์ให้ผมคิดมากอยู่เลย มีจุ๊บๆ บ้างมีรูปหัวใจบ้าง”
ต้องบอกเลยค่ะว่า หยุดค่ะ หยุดมโน ชวนคุยผ่านสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะแอพลิเคชั่นไหน เขาไม่ได้จีบคุณเขาแค่หาอะไรทำให้ผ่านคืนๆหนึ่ง หรือ ช่วงเวลาเวลาหนึ่งไปเท่านั้น ยิ่งถ้าเราส่งข้อความไปก่อนตลอดเวลา บอกเลยว่าจบ เพราะเขาไม่เคยคิดถึงคุณเลย ไม่ต้องไปนั่งเคลียร์ว่าชอบหรือไม่ชอบให้เมื่อยตุ้ม
3. คอยดูแลห่วงใย
จะมีมนุษย์อยู่หนึ่งประเภทที่คอยดูแลห่วงใย และ นิสัยดีชนิดมนุษย์มโน อยากจะได้มาเป็นพ่อ เป็นแม่ของลูก แต่มนุษยแสนดีเหล่านี้ ถ้าเขาจะจีบใคร รักใคร เขาบอกตรงๆ ไม่มานั่งดูแลห่วงใยเงียบๆให้เสียเวลา เพราะพวกนี้ดีกับทุกคน ช่วยยกของ พาไปส่งบ้าน เลี้ยงข้าว ถามไถ่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาทำกับทุกคน มนุษย์มโน ต้องตั้งสติให้มั่น
4. มีความถึงเนื้อถึงตัว
เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เพราะหลายคนคิดว่าการสัมผัสร่างกายกัน คือความก้าวหน้าเรื่องความสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงสำหรับบางคนเป็นเพียงแค่นิสัย ที่ไม่ถือเนื้อถือตัว ผู้หญิงที่ผู้ชายจับมือถือแขน โดยมีความสนิทสนมกันอยู่แล้วพวกเธอมักจะมีจินตนาการไปไกล ขณะที่ผู้ชายหลายคนคิดว่า การได้สัมผัสเนื้อตัวผู้หญิงคือการได้ทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นมโนที่ผิดทุกข้อ เพราะมนุษย์ประเภทที่ถึงเนื้อถึงตัวง่ายนั้นส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ได้คิดอะไร เป็นความสนิทสนมปกติในฐานะเพื่อน ส่วนถ้าชอบใครในฐานะคนรัก มนุษย์จำพวกนี้จะไม่กล้าแม้แต่สบตาด้วยซ้ำ